HomeCategory

ข่าวสารและบทความ

https://tvinsure.com/wp-content/uploads/2022/06/เคลมสด-กับ-เคลมแห้ง-คืออะไร-01-1280x640.png

วันนี้มีพี่ ๆ ถามน้องทวีเข้ามาว่าการเคลมเพื่อเอาประกันรถยนต์มีคำว่า เคลมสดกับเคลมแห้งด้วย พี่ ๆ หลายคนน่าจะสงสัยว่า เคลมสดเคลมแห้งคืออะไร ต้องเปียกน้ำหรอเปล่า ใจเย็น ๆ เดี๋ยวน้องทวีจะมาอธิบายให้พี่ ๆ ฟัง ในการเคลมประกันรถยนต์จะมีศัพท์เฉพาะของการเคลมเพื่อเอาประกันภัยอนั้นคือ เคลมสดกับเคลมแห้ง ซึ่งเคลมสด หมายถึง การเคลมที่ต้องมีพนักงานตรวจสอบความเสียหายในสถานที่เกิดเหตุ เช่น กรณีเฉี่ยวชนจนมีผู้บาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ประเภท รถบุบ รถพัง แบบนี้ต้องมีคนไปตรวจสอบแล้วนำใบหลักฐานความเสียหายไปแจ้งซ่อมกับอู่หรือห้างที่ซ่อมรถได้เลย ส่วนการเคลมแห้งก็คือในทางกลับกันกับเคลมสด นั่นหมายความว่าการเคลมแห้งคือการเคลมที่ไม่ต้องมีพนักงานตรวจสอบความเสียหายในสถานที่เกิดเหตุ อาจจะเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ เช่น เมื่อชนกระถางต้นไม้หน้าออฟฟิศ เราสามารถนำรถของเราไปซ่อมในอู่หรือห้างที่ซ่อมรถได้เลยก่อนกรรมธรรม์จะหมดอายุ เอาละ พี่ ๆ น่าจะเข้าใจคำว่าการเคลมสดกับเคลมแห้งแล้วใช่ไหมล่ะ ทีนี้เวลาเกิดเหตุต้องเรียกเคลมขึ้นมา พี่ ๆ จะได้ประเมินสถานการณ์ได้ว่า นี่เราต้องการเคลมสดหรือเคลมแห้งกันนะ แล้วครั้งหน้าน้องทวีจะมานำความรู้ในเรื่องของประกันภัยมาบอกให้พี่ ๆ ที่ติดตามเราได้รู้อะไรใหม่ ๆ ก่อนใครเลย อย่าลืมติดตามน้องทวีด้วยน๊าา~

https://tvinsure.com/wp-content/uploads/2022/06/มี-พ.ร.บ.-ทำประกันรถด้วยดีไหม-01-1280x640.png

มีพี่ ๆ มือที่พึ่งซื้อรถเป็นคันแรกทักมาถามน้องทวีว่า ถ้าทำ พ.ร.บ.รถแล้วจำเป็นที่จะต้องทำประกันรถพ่วงด้วยดีไหม หรือแค่ พ.ร.บ. อย่างเดียวก็พอแล้ว วันนี้น้องทวีจะมาแนะนำพี่ ๆ ที่ส่งคำถามนี้เข้ามาเองง สำหรับ พ.ร.บ. หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ คือประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำ ในตัว พ.ร.บ. ซึ่งจะมีความคุ้มครองทั้งฝ่ายผู้ขับขี่และฝ่ายคู่กรณีหรือทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเน้นไปที่ค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ส่วนเจ้าตัวประกันรถจะเป็นประกันภัยแบบไม่บังคับเหมือนกัน พ.ร.บ. จะเป็นประกันภัยที่เน้นไปที่ตัวรถี่ใช้ขับขี่ในกรณีที่เกิดวามเสียหายและอาจจะมีความคุ้มครองเรื่องของบุคคลเพิ่มมาเสริมในส่วนของ พ.ร.บ. ได้ด้วย ทีนี้กลับมาที่คำถามเนอะ ว่า ถ้าทำ พ.ร.บ.รถแล้วจำเป็นที่จะต้องทำประกันรถพ่วงด้วยดีไหม น้องทวีแนะนำว่า ควรทำ!! แต่ก็ไม่ได้บังคับนะ ทำเพื่อความอุ่นใจทั้งเรื่องการเงิน การซ่อมแซม และความรู้สึกหลังเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ยิ่งถ้าเป็นรถคันใหม่ด้วยก็ยิ่งน่าทำเลยน้า จะได้มีรถคันนี้อยู่กับเราไปนาน ๆ เลย น้องทวีแนะนำ!!

https://tvinsure.com/wp-content/uploads/2022/06/เมาแล้วขับ-ประกันรถยนต์คุ้มครองหรือไม่-01-1280x640.png

ช่วงนี้หลายพื้นที่ในประเทศไทยเริ่มที่จะเปิดสถานที่ท่องเที่ยวได้มากขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กินเวลามาเกือบ 3 ปี แน่นอนว่ารวมถึงสถานบันเทิงด้วยที่กำลังจะได้เปิดในเร็ว ๆ นี้ น้องทวีก็เลยอยากจะมาเตือนทุกคนเรื่องการขับขี่กันสักหน่อยล่ะนะว่า เมาแล้วขับ ประกันจะคุ้มครองไหมน้า ถ้าพี่ ๆ เกิดดื่มหนักแล้วเกิดอุบัติเหตุจนรถเกิดความเสียหาย แล้วตรวจเจอปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกันที่พี่ ๆ ทำประกันรถเอาไว้จะไม่ให้ความคุ้มครองและจ่ายค่าเสียหายอะไรให้เลย เพราะนั่นถือว่าพี่ ๆ มีพฤติกรรมเมาแล้วขับนะ!! แถมพวกพี่จะต้องเสียเงินอีกถ้าหากไปชนคนอื่น ๆ จนได้รับความเสียหายไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม บริษัทประกันจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีไปก่อน แล้วจึงเรียกเก็บเงินกับผู้ขับขี่คืนภายหลัง แต่ถ้าพี่ ๆ มีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าพี่ ๆ ไม่ได้มีพฤติกรรมเมาแล้วขับทางบริษัทประกันจะชดใช้ค่าเสียหายให้เหมือนเดิมตามความคุ้มครองที่พี่ ๆ จะได้รับตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์นั่นเองง เพราะฉะนั้นพี่ ๆ ก็อย่าเผลอดื่มหนักแล้วมาขับรถนะ ถ้ารู้ว่าไม่ไหวก็อย่าฝืนไปต่อล่ะ มันไม่คุ้มม

https://tvinsure.com/wp-content/uploads/2022/06/ขายหรือโอนรถ-ประกันรถยนต์ยังคุ้มครองอยู่หรือไม่-01-1280x640.png

มีพี่ ๆ ถามกันเข้ามาเยอะว่า “น้องทวี ถ้าพี่ขายหรือพี่โอนรถไปแล้วเนี่ย ประกันรถยังคุ้มครองอยู่ไหม” วันนี้น้องทวีมีคำตอบให้พี่ ๆ ที่ถามเข้ามาให้หายสงสัยเลย… ถ้าประกันรถที่พี่ ๆ ทำไม่ได้มีการระบุชื่อผู้ขับขี่ แล้วพี่ ๆ ขายหรือโอนรถให้ผู้อื่นโดยที่ไม่ได้มีการแจ้งยกเลิกประกันภัย ให้ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันตามกรมธรรม์ประกันรถยนต์ ก็คือประกันจะยังคุ้มครองรถอยู่นะ และบริษัทประกันก็ต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์และให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ต่อไปจนครบอายุของกรมธรรม์ที่เหลือเลย แต่ในถ้ากรมธรรม์ที่พี่ ๆ ทำมีการระบุชื่อผู้ขับขี่ ผู้เอาประกันภัยเดิมต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ให้บริษัทประกันภัยรู้ซะก่อน เพราะบริษัทประกันจะต้องปรับเปลี่ยนเรื่องอัตราเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงภัยที่เปลี่ยนไปตามผู้ขับขี่นั่นเอง  ง่าย ๆ แค่นี้เอง พี่ ๆ อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัยของพี่ ๆ ก่อนจะขายหรือโอนรถน้าา เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเรื่องความคุ้มครองในภายหลัง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียโอกาสความคุ้มครอง ไม่ใช่แค่ผู้ขายนะ พี่ ๆ ที่เป็นผู้ซื้อหรือผู้รับโอนก็อย่าลืมถามผู้ขายให้ดีนะคะ น้องทวีแนะนำ~   

https://tvinsure.com/wp-content/uploads/2021/02/Car-1280x640.png

ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ หลายต่อหลายครั้งที่จะเกิดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัย ซึ่งจริง ๆ แล้วเหตุการณ์เช่นนี้คงเป็นสิ่งที่ใคร ๆ คงไม่อยากให้เกิด แต่ในหลายกรณีพบว่าสาเหตุหลักเกิดจากการที่ผู้เอาประกันภัยอาจจะยังไม่เข้าใจในหลักกฎหมาย เงื่อนไข และข้อยกเว้นของการทำประกันภัยอย่างแท้จริง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้แปลกอะไรเพราะเนื้อหาที่เกี่ยวกับประกันภัยนั้นเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนมาก   แต่อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขเพื่อลดความเสียหายระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ หากพวกเราผู้เอาประกันภัยได้เพิ่มเติมความรู้โดยการอ่านและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้เอาประกันภัย ขอบเขตความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นต่างๆ ในกรมธรรม์ประกันภัยให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้เป็นผู้ที่ไม่เสียโอกาสและไม่เกิดเรื่องโต้แย้งที่จะเสียเวลากับพวกเราในท้ายที่สุด  โดยทางเรามีหลักการทั่วไปที่ควรทราบมาแนะนำให้เป็นความรู้ติดตัวดังนี้ การโอนรถยนต์ /การเปลี่ยนเจ้าของ เมื่อผู้เอาประกันรถยนต์โอนรถยนต์ให้บุคคลอื่น ให้ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์นี้ และบริษัทผู้รับประกันภัยต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อไปตลอดอายุกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังเหลืออยู่   ในกรณีเป็นการทำประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ผู้เอาประกันภัยอย่างชัดเจน ผู้เอาประกันจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ให้บริษัทประกันภัยทราบ เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเจ้าของ หากไม่ได้แจ้งผู้เอาประกันภัยนั้นอาจจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกเอง ตามเงื่อนไขความคุ้มครองที่ปรากฏในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้   การหยุดใช้รถ ผู้เอาประกันภัยอาจแจ้งการหยุดใช้รถยนต์เพื่อขอรับเบี้ยประกันภัยคืนจากบริษัทผู้ประกันภัยได้โดย 1. ต้องแจ้งล่วงหน้าเพื่อขอหยุดการใช้รถยนต์ การคืนเบี้ยประกันภัยให้เฉลี่ยเป็นรายวัน 2. ห้ามคืนเบี้ยประกันภัยในการหยุดใช้รถในกรณี หยุดการใช้รถยนต์น้อยกว่า 30 วัน หรือรถอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม   รถยนต์เช่าซื้อ การประกันภัยรถยนต์เช่าซื้อ ให้บริษัทผู้รับประกันภัยแต่ผู้เดียวเท่านั้น การยกผลประโยชน์ตามส่วนได้ส่วนเสียให้ผู้ให้เช่าซื้อเป็นผู้เอาประกันภัยแต่ผู้เดียวเท่านั้น การยกผลประโยชน์ตามส่วนได้เสียให้ผู้ให้เช่าซื้อ ให้บริษัทใช้เอกสารแนบท้ายเพิ่มเติมรายละเอียด

Contact Usช่องทางการติดต่อ
บริษัท ทวีทรัพย์โบรคเกอร์ จำกัด
204/11 ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
ใบอนุญาต ว00288/2534
Talk with Usพูดคุยกับเรา
เข้ามาพูดกันเลยผ่าน Line OA

Line: @tvinsure

Contact Usช่องทางการติดต่อ
บริษัท ทวีทรัพย์โบรคเกอร์ จำกัด
204/11 ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
ใบอนุญาต ว00288/2534
Our Systemsระบบของเรา
Our Blogsบทความแนะนำของเรา
Talk with Usพูดคุยกับเรา
เข้ามาพูดกันเลยผ่าน Line OA

Line: @tvinsure